บิลเบอร์รี่ vs บลูเบอร์รี่ กับ ประโยชน์ต่อดวงตา จากงานวิจัย

บิลเบอร์รี่ vs บลูเบอร์รี่ กับ ประโยชน์ต่อดวงตา จากงานวิจัย

หลายๆ คนรู้ว่า บลูเบอร์รี่ บิลเบอร์รี่ บำรุงสายตา ให้ดีขึ้นได้ ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร แล้วประโยชน์ที่แท้จริงของเจ้าเบอร์รี่ทั้ง 2 นี้มีอะไรบ้าง Health30Plus ได้รวบรวมข้อมูลต่างๆ งานวิจัย สรรพคุณ คุณค่าทางโภชนาการ มาไว้ให้ทุกคนที่สนใจ หรือ ปัญหาทางดวงตาให้ได้อ่านกัน

บลูเบอร์รี่เป็นอาหารโปรดของคนอเมริกาเหนือมาช้านานซึ่งมีคล้ายกับบิลเบอร์รี่ในฝั่งยุโรป ซึ่ง ทั้ง 2 เบอร์รี่นี้ มีคุณค่าทางอาหารใกล้เคียงกัน แต่จะมีตันึงที่มีคุณค่าทางอาหารมากกว่า หมายความว่า หากทานในปริมาณที่เท่ากัน จะมีอันนึงที่ให้คุณค่าทางโภชนาการมากกว่านั้นเอง บลูเบอร์รี่และบิลเบอร์รี่ มี แอนโทไซนานิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเพิ่มความประสิทธิภาพในการมองเห็น และ เพิ่มสีสันสดใสให้ด้วงตาได้ แต่มันแตกต่างกันอย่างไร?

บิลเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ต่างกันอย่างไร

บิลเบอร์รี่ vs บลูเบอร์รี่ กับ ความแตกต่าง

หากสังเกตุจากภายนอกจะรู้สึกไม่แตกต่างกัน แต่ถ้าเทียบกับหลายๆ อย่างจะเป็นได้ว่า พื้นที่ปลูกแตกกต่างกัน เนื้อด้านในต่างกัน รสชาติต่างกัน สารสำคัญต่างกัน

บิลเบอร์รี่ เป็นผลไม้พุ่มขนาดเล็กที่มีผลเบอร์รี่สีน้ำเงินเข้ม ม่วง มีขนาดเล็ก คนจะที่รู้จักกันว่า เป็นบลูเบอร์รี่ยุโรป ซึ่งเป็นพืชมีถิ่นกำเนิดในป่าและภูเขาในยุโรปตอนเหนือและตอนกลาง แต่ยังเติบโตตามธรรมชาติในอเมริกาเหนืออีกด้วย

บลูเบอร์รี่ เป็นผลไม้กลุ่มของพุ่มไม้ที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายในทวีปอเมริกาเหนือเป็นอย่างมาก เป็นผลไม้ที่ภายนอกมีความคล้ายคลึงกับบิลเบอร์รี่มากอีกด้วย

ผลเบอร์รี่ทั้งสองนี้ยังมีสารออกฤทธิ์ต่างกัน

บิลเบอร์รี่ป่ามีรสชาติเข้มข้นกว่าบลูเบอร์รี่ที่ปลูก บิลเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานเป็นของว่างในยุโรป ผู้คนมักจะเก็บผลเบอร์รี่จากพืชป่า ทั้งบลูเบอร์รี่และบิลเบอร์รี่รับประทานสด แช่แข็ง หรือแห้ง พวกเขายังสามารถทำเป็นแยม น้ำผลไม้ สุรา พายและโยเกิร์ต แต่บิลเบอร์รี่ซึ่งแตกต่างจากบลูเบอร์รี่นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปลูกและเก็บเกี่ยว ในทางกลับกัน ใครก็ตามที่ได้ชิมบิลเบอร์รี่หรือบลูเบอร์รี่ป่าจะบอกคุณว่าบลูเบอร์รี่ที่ปลูกไว้นั้นไม่เหมือนใคร

บลูเบอร์รี่ป่าและบิลเบอร์รี่ป่ามีความคล้ายคลึงกันมากพอ : ทั้งคู่มีรสเปรี้ยว มีรสหวานเล็กน้อยเท่านั้น และมีรสชาติและสีที่เข้มข้นซึ่งมาจากปริมาณแอนโธไซยานินสูง

Bilberry-vs-blueberry

สารออกฤทธิ์ และ คุณค่าทางโภชนาการ ของ บิลเบอร์รี่ กับ บลูเบอร์รี่

สารแอนโทไซยานิน
จากข้อมูลพบกว่า บิลเบอร์รี่ มีสารแอนโทรไซยานิน สูงกว่า บูลเบอร์รี่ ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยดูแลดวงตาให้ดีขึ้น เทียบปริมาณ 100 กรัม

บิลเบอร์รี่เป็นแหล่งแอนโทไซยานิน โดยให้ผลเบอร์รี่ 300-700 มก. ต่อ 100 กรัม

บูลเบอร์รี่เป็นแหล่งแอนโทไซยานิน  โดยให้ผลเบอร์รี่ 82.4 มก. ต่อ 100 กรัม

เนื่องจากผลไม้ทั้งสองชนิดอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ จึงอาจนำไปใช้ในสภาวะที่คล้ายคลึงกัน อย่างไรก็ตาม ยาพื้นบ้านใช้บิลเบอร์รี่บ่อยกว่าสำหรับปัญหาสายตา การไหลเวียนของเลือด และอาการท้องร่วง ในขณะที่บลูเบอร์รี่เหมาะสำหรับกลุ่มอาการอ่อนเพลียเรื้อรังการทำงานของการรับรู้ และการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

ประโยชน์ของสารแอนโทไซยานิน

  • ช่วยเพิ่มการมองเห็นตอนกลางคืน ลดอาการตาบอดตอนกลางคืน
  • ปรับภาพจากที่มืดให้สว่างได้เร็วขึ้น
  • เพิ่มการมองเป็นและคมชัดได้
  • ป้องกัน ต้อกระจก และ จอประสาทตาเสื่อม ได้
  • เพิ่มระบบการไหลเวียนของเลือด
  • ลดการอักเสบต่างๆ

อ่านเพิ่ม : แอนโทไซยานิน ตัวช่วยป้องกันดวงตาที่มีประสิทธิภาพสูง

คุณค่าทางโภชนาการ

ในแง่ของคุณค่าทางโภชนาการ ผลเบอร์รี่ทั้งสองนี้มีความคล้ายคลึงกันมาก แต่บิลเบอร์รี่ดิบดูเหมือนจะเอาชนะบลูเบอร์รี่แช่แข็งได้เมื่อได้รับสารอาหารบางชนิด

credit : https://purplesuper.com/bilberry-vs-blueberry/

 

สรุป หากต้องการกินเบอร์รี่สดๆ สามารถทานอันไหนก็ได้ แต่ถ้าต้องการเรื่องสรรพคุณ คุณค่าทานอาหารที่มากกว่า บิลเบอร์รี่ อาจจะตอบโจทย์มากกว่านในปริมาณการทาน เพื่อช่วยให้บำรุงสายตา และ ป้องกันสายตาได้นั้นเอง แต่หากเราไม่สามารถหาทานได้ทุกวันหรือบ่อยๆ ได้ เพราะ ว่าผลไม้นำเข้าค่อนข้างมาราคาสูง ก็แนะนำให้ทานอาหารเสริมที่มีสารสำคัญจากกลุ่มแอนโทไซยานินแทนก็ได้ เพื่อช่วยลดความเหนื่อยล้าจากแสงสีฟ้า ช่วยให้มองเห็นในที่มืด รวมทั้งป้องกันจอประสาทตาเสื่อม และ ต้อกระจกได้นั้นเอง

แหล่งข้อมูล

  • https://selfhacked.com/blog/bilberry-vs-blueberry/
  • https://purplesuper.com/bilberry-vs-blueberry/

แนะนำอาหารเสริมฟื้นฟูดวงตาจากงานวิจัย Herbitia Lutein

ที่มีสารสกัดเข้มข้นจากอิตาลี